วันนี้ (31 ส.ค.) นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์ในฐานะคณะกรรมการบริหารจัดการผลไม้แห่งชาติ(ฟรุ้ทบอร์ด)พร้อมด้วย นายเมฆินทร์ เอี่ยมสะอาดและนายณฐกร สุวรรณธาดา คณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ.รวมทั้งนายปรัตถกร แท่นมณี กงสุล (ฝ่ายเกษตร) ประจําสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ลงพื้นที่ตรวจทุเรียนที่ตลาดเชียงหนานในเมืองกว่างโจว
กรณีเกิดปัญหาหนอนเจาะทุเรียนกระทบการส่งออกทุเรียนไทยจากนั้นได้ร่วมประชุมหารือกับผู้ประกอบการค้าของจีนและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้นายอลงกรณ์เปิดเผยภายหลังการตรวจตลาดเชียงหนานและพบหารือประเมินสถานการณ์การแก้ไขปัญหาหนอนเจาะทุเรียนกับผู้ประกอบการจีนว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน)ในฐานะประธานฟรุ้ทบอร์ดได้สั่งการเร่งแก้ไขปัญหาทันทีที่เริ่มมีรายงานการตรวจพบหนอนเจาะทุเรียนที่ด่านตรวจโรงพืชเช่นด่านโหยวอี้กวนที่พรมแดนเวียดนาม-จีน และด่านโมฮ่านที่พรมแดนลาว-จีนเป็นต้นรวมทั้งมีผู้ประกอบการค้าทุเรียนของจีนได้รับการร้องเรียนจากลูกค้้าตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาโดยมุ่งการจัดการปัญหาที่สวน ล้งและผู้ประกอบการค้าส่งออกโดยเน้นนโยบายคุณภาพและมาตรฐาน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ ในระดับพื้นที่เช่น ทุเรียนในจังหวัดยะลา ทั้งนี้มีกลไกระดับจังหวัดคือคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาอันเนื่องมาจากผลผลิตการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) เป็นแกนหลักบริหารจัดการมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานโดยการสนับสนุนของกรมวิชาการและกรมส่งเสริมการเกษตรในฐานะฝ่ายเลขานุการของฟรุ้ทบอร์ด ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมอบหมายกงสุล (ฝ่ายเกษตร) ประจําสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจวสื่อสารสร้างความเข้าใจและสร้างความมั่นใจกับผู้ประกอบการและผู้บริโภคชาวจีนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาหนอนเจาะทุเรียนเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของทุเรียนไทยที่ครองใจครองตลาดจีนอันดับ1มาอย่างยาวนานโดยผู้ประกอบการจีนที่ตลาดเชียงหนานซึ่งเป็นตลาดผลไม้ใหญ่ที่สุดในมณฑลกว่างตุ้งและภาคตะวันออกของจีนแสดงความชื่นชมต่อการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วของทางการไทย
นายอลงกรณ์ยังแสดงความพอใจต่อรายงานการส่งออกผลไม้และทุเรียนผลสดที่ยังครองแชมป์ในตลาดจีนโดยกล่าวว่า ภาพรวมการส่งออกผลไม้สดจากไทยไปจีนครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้นคิดเป็นปริมาณรวมกว่า 1.1 ล้านตัน มูลค่ากว่า 1แสนล้านบาท
สำหรับการส่งออกทุเรียนไปจีนครึ่งปีแรกมีปริมาณกว่า 6 แสนตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 8 หมื่นล้านบาท.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น