เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2567 เวลา 17.30 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมเวทีเสวนา “แผนยุทธศาสตร์อัปเกรดประเทศไทย” ในงาน TNN Dinner Talk โดยมี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ณ ห้องแมกโนเลีย บอลรูม ชั้น 10 โรงแรมวอดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ
. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานมีความมุ่งมั่นยกระดับแรงงานไทยให้เป็นกำลังแรงงาน ที่มีศักยภาพสูง ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ มีเป้าหมายเร่งแก้ไขปัญหาด้านแรงงานในทุกมิติ โดยเฉพาะมิติด้านรายได้ด้วยการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้มีทักษะสูง มีรายได้ที่เพียงพอ กับสภาพเศรษฐกิจ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ซึ่งกระทรวงแรงงานภายใต้การดำเนินงานของผมนั้น มีผลงานสำคัญในระยะเร่งด่วน Quick win 100 วัน ที่ดำเนินการแล้ว ได้แก่ จัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงานและกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ เพื่อให้แรงงานที่มีทักษะฝีมือและผ่านการทดสอบฝีมือแรงงานในแต่ละสาขาอาชีพได้รับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือที่กำหนดไว้ โดยปัจจุบันมีการจัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงานแล้วทั้งสิ้น 275 สาขา รองรับการลงทุนจากต่างประเทศในภาคอุตสาหกรรม เช่น ช่างฝีมือเกี่ยวกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และ อาชีพในภาคการท่องเที่ยวและบริการ ได้มีค่าจ้างตามฝีมืออาชีพ เริ่มต้น 600 บาทต่อวัน ใน 53 ฝีมืออาชีพ
ซึ่งในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานภาคการท่องเที่ยว รองรับนโยบายจากรัฐบาลตั้งเป้าหมายรายได้จากนักท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท ปี68 เตรียมพัฒนาฝีมือแรงงาน 400,000 คน เพื่อรองรับการขยายตัว ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรองทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังเพิ่มสิทธิผู้ประกันตน SSO 515 “รักษา 5 โรคร้ายแรงและ ได้รับการผ่าตัดทำหัตการภายใน 15 วัน” , เพิ่มสิทธิผู้ประกันตนที่ป่วยด้วยโรคหยุดหายใจขณะหลับและมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องอัดอากาศขณะหายใจเข้าสามารถเบิก ค่าตรวจการนอนหลับ (Sleep test)ได้ตามจริง และอุปกรณ์เสริมสำหรับการรักษาได้ รวมถึงให้บริการทันตกรรมเชิงรุกเพื่อให้ผู้ประกันตนเข้าถึงสิทธิประโยชน์มากขึ้น ด้วยการนำรถทันตกรรมเคลื่อนที่ (SSO Mobile e-Dent) ให้บริการที่สถานประกอบการ ทั้งถอนฟัน ขูดหินปูน ผ่าฟันคุด อุดฟัน ให้ได้รับความสะดวกสบายในการรักษาพยาบาลมากขึ้น ,เพิ่มสิทธิวันลาคลอด จาก 90 วัน เป็น 98 วัน หรือ 14 สัปดาห์ โดย ลูกจ้างที่ลาคลอด จะได้รับค่าจ้างจากในอัตรา 100% ของค่าจ้าง จากนายจ้างและสำนักงานประกันสังคม คนละครึ่ง รวมลูกจ้างชายลาเพื่อไปช่วยเหลือภรรยาที่คลอดบุตรโดยให้นายจ้างใช้ดุลยพินิจพิจารณากำหนดจำนวนวันลาของลูกจ้างเพื่อไปช่วยเหลือภรรยานับแต่วันที่ภรรยาคลอดบุตร ตามความเหมาะสมด้วย
นายพิพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงแรงงานยังได้บูรณาการความร่วมมือระหว่าง 4 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในการผลิตทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ และสร้างจิตสำนึกความเป็นไทย เตรียมทำ BIG DATA ในการเชื่อมโยงข้อมูล อย่างมีประสิทธิภาพโดยมุ่งเน้นส่งเสริมศักยภาพแรงงาน สร้างโอกาสในการทำงาน ส่งเสริมให้ผู้เรียน ได้รับการแนะแนวอาชีพ มีประสบการณ์ ในการฝึกงานเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน สามารถสร้างรายได้ตั้งแต่อยู่ในวัยเรียน และได้มีการพัฒนาระบบธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนและประชาชนทั่วไปได้เรียนและทำงานควบคู่กันไป โดยนำผลการเรียนรู้ที่ได้จากประสบการณ์ในการทำงาน หรือการฝึกอบรม มาเทียบโอนและทดสอบเพื่อออกใบรับรองความรู้ความสามารถ ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น